Jul 26

พัฒนาจิตแนวพุทธ

ซื้อหนังสือเล่มนี้ (คลิก)

  • “พัฒนาจิตแนวพุทธ” เล่มนี้ เป็นผลงานเขียนของ พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์, ผศ. (สมาน กลฺยาณธมฺโม/พรหมอยู่) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งผลงานต้นฉบับเล่มนี้ ผู้เขียนได้มอบให้สำนักพิมพ์ มจร เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา ทางสำนักพิมพ์ มจร ขอกราบขอบพระคุณ มา ณ โอกาสนี้“พัฒนาจิตแนวพุทธ” เล่มนี้ ผู้เขียนได้ปรารภไว้ว่า เล่มนี้เป็นหนังสือเชิงวิชาการที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติของจิตในลักษณะต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนา ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหนังสือประกอบการศึกษาและปฏิบัติธรรมตามหลักวิชาการทางพุทธจิตวิทยา ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจอย่างมากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพราะต่างทราบกันดีว่าทั่วโลกพากันแข่งขันพัฒนาด้านวัตถุเทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกลมาก มนุษย์มีความเป็นอยู่ด้านกายภาพสะดวกสบายยิ่งขึ้น แต่สภาพจิตใจกลับยิ่งเครียดขึ้นตามลำดับ ซึ่งเป็นการสวนทางกับทางด้านกายภาพ ทั้งนี้ เพราะขาดการดูแลจิต อันเป็นตัวรับสภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับมนุษย์การพัฒนาจิต พระพุทธศาสนาเรียกว่า จิตภาวนาบ้าง สมาธิภาวนาบ้าง หรือวิปัสสนาภาวนาบ้าง อันเป็นมรดกจากแดนชมพูทวีป คือประเทศอินเดียถือปฏิบัติกันมายาวนาน จนบรรลุมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติพรหมสมบัติ และนิพพานสมบัติ จำนวนมาก เมื่อเกิดมาพบพระพุทธศาสนาได้รับมรดกอันล้ำค่าสุดวิเศษแล้ว ถ้าไม่ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ก็นับว่าพลาดโอกาสอย่างน่าเสียดาย แล้วอีกกี่ชาติจึงจะได้พบอีกการศึกษาเรื่องจิตที่เรียกว่า “จิตวิทยา” มีแพร่หลายในกลุ่มประเทศตะวันตก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาความผิดปกติทางจิตอันเกิดจากสาเหตุต่างๆ และศึกษาพฤติกรรมของจิต แต่ “จิตภาวนา” มีการศึกษาแพร่หลายในกลุ่มประเทศตะวันออก ซึ่งส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาโดยใช้หลักกรรมฐานเป็นแนวปฏิบัติ เพื่อพัฒนาจิตให้สะอาด สว่าง สงบไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนทนทุกข์ จนสามารถหลุดพ้นเป็นอิสระจากอำนาจกิเลสได้การพัฒนาจิตนั้น เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมนุษยชาติอย่างน้อยก็โปรดระลึกว่า เราเกิดมาเพื่อยกระดับจิตให้สูงขึ้น ทำให้รู้เท่าทันอารมณ์ รู้เท่าทันกิเลส ทำให้เกิดการหักห้าม ยับยั้ง ระงับอารมณ์มีให้ไหลไปตามกิเลสได้ จึงนับว่ามีคุณประโยชน์อย่างมาก ถ้าไม่พัฒนา จิตก็จะเสื่อมลงตามอำนาจกิเลส สุดแต่กิเลสจะชักนำไป สุดท้ายก็ตกสู่อบายภูมิ การพัฒนาจิตนอกจากได้รับผลดังกล่าวแล้ว ยังเป็นการบำเพ็ญบุญระดับสูงตามหลักบุญกี้ริยาวัตถุ คือ ทาน ศีล ภาวนา อีกด้วย ส่วนด้านเนื้อหาทางพุทธจิตวิทยาที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกมีจำนวนมาก โดยเฉพาะคัมภีร์พระอภิธรรม ซึ่งกล่าวถึงเรื่องจิตโดยตรง แต่ที่นำมากล่าวในที่นี้เพียงเล็กน้อยพอเป็นพื้นฐานการศึกษาและปฏิบัติ ซึ่งผู้เรียบเรียงพยายามใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ยกเว้นบางศัพท์บางคำที่เป็นศัพท์เฉพาะต้องคงไว้เพื่อความชัดเจนของเนื้อหา สำหรับภาษาบาลีที่นำมาเขียนไว้ด้วยนั้นวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงที่มาของเนื้อหา และเพื่อให้ผู้อ่านได้เรียนรู้การอ่านการเชียนภาษาบาลีไปด้วยจึงหวังว่า หนังสือเล่มนี้ จะอำนวยประโยชน์แก่ผู้สนใจใคร่ศึกษาใคร่ปฏิบัติ ใคร่พัฒนาจิต พัฒนาชีวิต ยกระดับจิต ยกระดับชีวิตให้สูงขึ้นตามสมควรแก่การปฏิบัติ ขอบุญกุศล คุณความดีอันเกิดจากหนังสือเล่มนี้ จงสำเร็จประโยชน์แก่บิดามารดา พระอุปัชฌาย์ อาจารย์และผู้มีพระคุณ รวมถึงผู้อ่านทุกท่านด้วย

Jul 26

พิธีสวดนพเคราะห์

ซื้อหนังสือเล่มนี้ (คลิก)

  • “พิธีสวดนพเคราะห์” เล่มนี้ เป็นผลงานเขียนของ พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์, ผศ. (สมาน กลฺยาณธมฺโม/พรหมอยู่) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งผลงานต้นฉบับเล่มนี้ ผู้เขียนได้มอบให้สำนักพิมพ์ มจร เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา ทางสำนักพิมพ์ มจร ขอกราบขอบพระคุณ มา ณ โอกาสนี้“พิธีสวดนพเคราะห์” เล่มนี้ ผู้เขียนได้ปรารภไว้ว่า มนต์ คือ คำสำหรับสวดที่มีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถประสิทธิ์ประสาทพร ความสุขความเจริญรุ่งเรือง ความสำเร็จต่าง ๆ ทั้งเป็นเครื่องกำจัดและป้องกันทุกข์ โศก โรค ภัย ทั้งปวงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ศาสนาใหญ่ ๆ ทุกศาสนาในโลก จึงมีบทสวดซึ่งก็คือคำสอนของศาสดานั่นเอง สำหรับให้ศาสนิกของตนได้สวดกัน ในพุทธศาสนาก็มีบทสวดจำนวนมาก มีหลายบทที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ภิกษุท่องจำ แล้วนำไปสวด ซึ่งมีปรากฏในพระไตรปิฎก บางบทนักปราชญ์ประพันธ์ขึ้นภายหลังเพื่อใช้สำหรับสวดในพิธีต่าง ๆการสวดนพเคราะห์ เป็นพิธีกรรมทางศาสนาอย่างหนึ่งที่พุทธศาสนิกชนนิยมจัดและเข้าร่วมพิธี เพราะถือว่าเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์จัดยาก เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์สิ่งของเครื่องประกอบหลายอย่างค่าใช้จ่ายสูง และเจ้าพิธีจะต้องมีความรู้ความชำนาญในการจัดเป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันนี้ ผู้มีความรู้ตามหลักโบราณประเพณีที่แท้จริงมีน้อย อีกทั้งตำร่าเอกสารสำหรับเป็นแนวทางศึกษาปฏิบัติก็ยิ่งหายากทั้ง ๆ ที่พิธีนี้ทำกันมานับร้อยปีแล้ว ส่วนใหญ่ก็จำกันสืบ ๆ มาผู้เรียบเรียงเกรงว่า ต่อไปในอนาดต พิธีอาจถูกปรับเปลี่ยน ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ซึ่งจะทำให้ความขลังความศักดิ์สิทธิ์เสื่อมถอยลงจึงได้ศึกษาจากหนังสือตำราและสอบถามท่านผู้รู้นำมาเรียบเรียงพิมพ์เผยแพร่ เพื่อเป็นคู่มือสำหรับการจัดพิธี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อให้พุทธศาสนิกชนสามารถสวดด้วยตนเองโดยไม่ต้องจัดพิธีอย่างเป็นทางการ ซึ่งต้องใช้เวลาและทุนมาก และการสวดด้วยตนเองนอกจากจะช่วยกำจัดทุกข์ โศก โรค ภัย ช่วยเสริมสิริมงคลให้เกิดความสุขความสวัสดี นำโชค นำลาภ มาให้แก่ตนและครอบครัวแล้ว ยังเป็นการบำเพ็ญกุศลให้แก่ตนและครอบครัวอีกด้วยอนึ่ง ผู้เรียบเรียงได้ข้อมูลการสวดนพเคราะห์นี้ จากหนังสือ”พระคัมภีร์พระเวทย์” โดย เทพ สาริกบุตร ทราบว่า ขณะนี้เสียชีวิตแล้ว ผู้เรียบเรียงพยายามติดต่อทายาทผ่านทางโรงพิมพ์ที่ปรากฎในหนังสือ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงขออำนาจบุญกุศลที่เกิดจากการรวบรวมข้อมูลและเผยแพร่ หนังสือนี้ จงสำเร็จแก่โยมบิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์ ผู้มีพระคุณอาจารย์เทพ สาริกบุตร และผู้ที่มีส่วนช่วยให้หนังสือเล่มนี้สำเร็จลงด้วยดีทุกท่าน

Jul 26

พระพิธีธรรม

ซื้อหนังสือเล่มนี้ (คลิก)

  • “พระพิธีธรรม” เล่มนี้ เป็นผลงานเขียนของ พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์, ผศ. (สมาน กลฺยาณธมฺโม/พรหมอยู่) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งผลงานต้นฉบับเล่มนี้ ผู้เขียนได้มอบให้สำนักพิมพ์ มจร เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา ทางสำนักพิมพ์ มจร ขอกราบขอบพระคุณ มา ณ โอกาสนี้“พระพิธีธรรม” เล่มนี้ ผู้เขียนได้ปรารภไว้ว่า ได้รับแรงบันดาลใจจากการที่ได้เข้าปฏิบัติหน้าที่สวดพระอภิธรรม ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในการบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทานพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นมา ซึ่งพระเถรานุเถระ พุทธศาสนิกชน และพสกนิกร ได้ดูข่าวพระราชพิธีทุกวัน จึงทำให้อยากทราบเรื่องเกี่ยวกับพระพิธีธรรม และพระราชประเพณีพิธีที่ทรงปฏิบัติในการบำเพ็ญพระราชกุศล ในครั้งนี้ นอกจากนั้น พระพิธีธรรมทุกวัดที่เข้าปฏิบัติหน้าที่สวดพระอภิธรรมต่างได้รับการซักถามด้วยคำถามที่คล้าย ๆ กัน เช่น ทำไมจึงต้องนิมนต์เฉพาะพระพิธีธรรมมาสวด พัด ๔ เล่ม ๔ สี หมายความว่าอย่างไรและทำไมจึงต้องมีพัดพระราชาคณะตั้งที่ตู้พระธรรมด้วย เป็นต้นเรื่องนี้ แม้ผู้เรียบเรียงจะได้ปฏิบัติหน้าที่พระพิธีธรรมมานานกว่าสามสิบปีแต่ยังไม่พบหลักฐานเอกสารความเป็นมาอย่างชัดเจน คงทราบแต่เพียงคำบอกเล่าสืบต่อกันมาจากผู้รู้ ซึ่งเป็นพระพิธีธรรมรุ่นเก่า ๆ บ้างจากนักวิชาการทางศาสนาบ้าง บางเรื่องก็ตรงกัน บางเรื่องก็ขัดแย้งกัน แต่ก็ยังนับว่าโชคดี ที่มีจดหมายเหตุของทางราชสำนัก และหนังสืองานพระเมรุมาศ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งกรมศิลปากรจัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราหินี ในรัชกาลที่ ๗ เป็นหลักฐานอ้างอิงได้เป็นอย่างดี ผนวกกับวิทยานิพนธ์เรื่องการวิเคราะห์ทำนองสวดพระอภิธรรมในพิธีศพหลวง ของนายเดชา ศรีคงเมือง นักศึกษาปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาดนตรี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้ค้นคว้าวิจัไว้ละเอียดพอสมควร ทำให้ผู้เรียบเรียงนำมาเป็นแนวสืบค้นและอ้างอิงในครั้งนี้หวังว่า หนังสือเล่มนี้จะทำให้เรื่องพระพิธีธรรม การสวดพระอภิธรรมทำนองหลวง ในพิธีศพหลวง และพระราชประเพณีเกี่ยวกับการบำเพ็ญพระราชกุศลเกี่ยวกับพระบรมศพ พระศพ เป็นที่เผยแพร่และทราบกันโดยทั่วไปขออุทิศบุญกุศลอันเกิดจากการเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ เป็นเครื่องบูชาคุณแต่บุรพาจารย์ด้านพิธีธรรมทุกรูปทุกสำนัก ขอทุกท่านจงรับและอนุโมทนาบุญกุศลที่อุทิศไปให้นี้ด้วยเทอญ

Jul 26

คาถาพาหุง พาสุข

ซื้อหนังสือเล่มนี้ (คลิก)

  • “คาถาพาหุง – พาสุข” เล่มนี้ เป็นผลงานเขียนของ พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์, ผศ. (สมาน กลฺยาณธมฺโม/พรหมอยู่) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งผลงานต้นฉบับเล่มนี้ ผู้เขียนได้มอบให้สำนักพิมพ์ มจร เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา ทางสำนักพิมพ์ มจร ขอกราบขอบพระคุณ มา ณ โอกาสนี้“คาถาพาหุง – พาสุข” เล่มนี้ ผู้เขียนได้ปรารภไว้ว่า พุทธศาสนิกชนนิยมสวดสืบทอดกันนาน เพราะทราบกันดีว่า เป็นบทสวดทรงพลานุภาพมีความหมายในทางป้องกันภัยต่าง ๆ และช่วยเสริมสิริมงคลทั้งแก่ผู้สวดและผู้ฟังเนื่องด้วยแต่ละบทนั้นกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระพุทธองค์บางเหตุการณ์มุ่งหมายปลงพระชนม์ บางเหตุการณ์มุ่งหมายให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง แต่พระพุทธองค์ก็ทรงชนะได้ทุกเหตุการณ์ และในตอนท้ายของทุกบท ได้อ้างถึงเดชานุภาพแห่งชัยชนะนั้น แล้วขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้าหรือแก่ท่าน (ถ้าสวดให้ตนเองเปลี่ยน เต เป็น เม)ในหนังสือสวดมนต์ปัจจุบันนี้ นิยมแปลบทสวดเป็นภาษาไทย เพื่อให้ผู้สวดได้รู้ความหมายของบทสวด แต่ก็รู้เฉพาะบทสวดเท่านั้น ส่วนเรื่องความเป็นมาของแต่ละบทที่เรียกว่าตำนานนั้น มีพิมพ์เผยแพร่น้อย ผู้เรียบเรียงจึงเห็นว่า ถ้านำตำนานหรือเรื่องความเป็นมาของแต่ละบท มาเล่าประกอบในทุก ๆ บทก็จะเกิดประโยชน์แก่ผู้สวด และผู้สนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ค้นคว้าจากหนังสือตำราต่างๆ มีพุทธประวัติ อนุพุทธประวัติ พระธัมมปทัฏฐกถา และพระไตรปัฎก เป็นต้น ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จาก อาจารย์เสรี อาจสาคร เจ้าหน้าที่ สถาบันพระไตรปิฎกศึกษ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ช่วยจัดหาข้อมูลให้ และ พระครูธรรมธรกิติ กิตุติสทฺโท ได้ช่วยพิมพ์ต้นฉบับให้ตั้งแต่ต้น ขออนุโมทนาและขอบคุณท่านทั้งสองมา ณ โอกาสนี้  หวังว่า หนังสือ “คาถาพาหุง – พาสุข” นี้ จะช่วยให้ผู้สนใจทราบเรื่องความเป็นมา และช่วยเสริมศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนยิ่งๆ ขึ้นไป

Jul 26

ตัณหา ไม่ปรานีใคร

ซื้อหนังสือเล่มนี้ (คลิก)

  • “ตัณหาไม่ปรานีใคร” เล่มนี้ เป็นผลงานเขียนของ พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์, ผศ. (สมาน กลฺยาณธมฺโม/พรหมอยู่) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งผลงานต้นฉบับเล่มนี้ ผู้เขียนได้มอบให้สำนักพิมพ์ มจร เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา ทางสำนักพิมพ์ มจร ขอกราบขอบพระคุณ มา ณ โอกาสนี้
    “ตัณหาไม่ปรานีใคร” เล่มนี้ ผู้เขียนได้ปรารภไว้ว่า ตัณหา เป็นคำพูดที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้ยินได้ฟังกันจนชินหูและก็รู้ความหมายว่าคือ “ความอยาก” ส่วนมากก็รู้กันในระดับนี้ที่รู้แจ้ง ในรายละเอียดยิ่งไปกว่านี้ ส่วนมากก็จะอยู่ในกลุ่มผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรม ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมบ่อย ๆ แต่ก็เป็นเพียงแค่รู้เท่านั้น คนที่จะรู้เท่าทันฤทธิ์เดชของตัณหาแล้วพยายามหักห้ามพยายามบรรเทานั้นมีน้อยนัก ทั้ง ๆ ที่ถูกตัณหาครอบงำชักนำให้ทำในสิ่งอันไม่ควรแล้วหลงเกลือกกลั้วมัวเมาอยู่ในความสุขความเพลิดเพลินที่เกิดจากตัณหาอันเปรียบเสมือนยาพิษอาบน้ำผึ้ง ซึ่งไม่ต้องถึงกับตัดตัณหาได้หมดเหมือนพระอรหันต์ ขอแค่เพลาๆ ลงอย่าให้แสดงออกจนเป็นพิษเป็นภัยสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ตนและบุคคลผู้อยู่ร่วมในสังคมส่วนรวมก็น่าอนุโมทนาแล้ว เพราะสังคมโลกมนุษย์ที่วุ่นวายเดือดร้อนล้มตายกันทุกหย่อมหญ้าที่ประสบมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนี้ และก็ยังจะมีต่อไปในอนาคตอีกยาวไกลไม่สิ้นสุด ก็เพราะมนุษย์ผู้ตกอยู่ในอำนาจตัณหาทำให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น ผู้เรียบเรียงเห็นว่า การนำพิษภัยของตัณหาพร้อมตัวอย่างบุคคลผู้ตกเป็นทาสตัณหาในอดีตกาลมารวมไว้ให้ผู้อ่านได้ศึกษา ซึ่งอาจจะช่วยให้เกิดความรู้เท่าทันตัณหา และคิดที่จะผ่อนบรรเทาตัณหาของตนให้เบาบางไปได้บ้างอย่างไรก็ตาม ข้อมูลเนื้อหาบางเรื่องบางตอนอาจคลาดเคลื่อนจากหลักวิชาการไปบ้าง อันเกิดจากความรู้น้อยของผู้เรียบเรียง ขอได้โปรดชี้แนะ เพื่อเป็นวิทยาทาน
    จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “ตัณหาไม่ปรานีใคร” เล่มนี้ คงจะเป็นประโยชน์แก่นักศึกษาและผู้สนใจใคร่รู้ได้พอสมควร เรื่องต่าง ๆ ที่นำมากล่าวในที่นี้ ก็เพียงส่วนเล็กน้อยในมุมมองของผู้เรียบเรียงเท่านั้น ผู้ใคร่ศึกษาให้ลึกซึ้งกว่านี้ ขอได้โปรดค้นคว้าจากพระไตรปิฎกหรือคัมภีร์อรรถกถา หรือตำราอื่น ๆ ซึ่งมีกล่าวไว้อีกมาก

Apr 20

วิสุทธิมรรค ปกรณ์วิเสส ภาค ๒ เล่ม ๒

ซื้อหนังสือเล่มนี้ (คลิก)

  • วิสุทธิมรรค ปกรณ์วิเสส ภาค ๒ เล่ม ๒ นี้ แปลมาจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค ภาษาบาลี ที่พระพุทธโฆสาจารย์รจนา ซึ่งมีเนื้อหา ๒๓ ปริจเฉท กล่าวคือ พระวินัยปิฎก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ โดยใจความ ได้แก่ศีล อยู่ใน ๒ ปริจเฉท คือสีลนิเทศ และธุตังคนิเทศ พระสุตตันตปิฎก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ โดยใจความ ได้แก่ สมาธิ อยู่ใน ๑๑ ปริจเฉท ตั้งแต่ปริจเฉทที่ ๓ ถึง ๑๓ ได้แก่ (๓) กัมมัฏฐานคหณนิเทศ (๔) ปฐวีกสิณนิเทศ (๕) เสสกสิณนิเทศ (๖) อสุภกัมมัฏฐานนิเทศ (๗) ฉอนุสสตินิเทศ (๘) อนุสสติกัมมัฏฐานนิเทศ (๙) พรหมวิหารนิเทศ (๑๐) อารุปปนิเทศ (๑๑) สมาธินิเทศ (๑๒) อิทธิวิธนิเทศ (๑๓) อภิญญา-นิเทศ และพระอภิธรรมปิฎก มี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ โดยใจความก็ได้แก่ ปัญญา อยู่ใน ๙ ปริจเฉท ตั้งแต่ปริจเฉทที่ ๑๔ ถึง ๒๒ ได้แก่ (๑๔) ขันธนิเทศ (๑๕) อายตนธาตุนิเทศ (๑๖) อินทริยสัจจนิเทศ (๑๗) ปัญญาภูมินิเทศ (๑๘) ทิฏฐิวิสุทธินิเทศ (๑๙) กังขาวิตรณวิสุทธิ-นิเทศ (๒๐) มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ (๒๑) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ (๒๒) ญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ (๒๓) ปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ ตั้งแต่ปริจเฉทที่ ๑ ถึง ๒๒ คือ ศีล สมาธิ และปัญญา นี่แหละจะเรียกว่า แผนที่หรือทางสู่พระนิพพาน
    วิสุทธิมรรค ปกรณ์วิเสส ภาค ๒ เล่ม ๒ นี้ มีเนื้อหาประกอบด้วย ๓ นิเทศ คือ (๑๑) สมาธินิเทศ แสดงวิธีการเจริญอาหาเรปฏิกูลสัญญากัมมัฏฐาน กับจตุธาตุววัตถาน-กัมมัฏฐาน อันเป็นกัมมัฏฐานหมวดสุดท้ายในการเจริญสมถกัมมัฏฐาน ๔๐ ประการ (๑) อาหาเร-ปฏิกูลสัญญา หมายถึง การทำความสำำคัญว่าเป็นของปฏิกูลในอาหาร โดยมุ่งพิจารณาไปที่กวฬิงการาหาร อาหารที่เป็นคำๆ ทั้งโดยการแสวงหา การบริโภค การหมักหมม และการขับถ่ายเป็นต้น (๒) จตุธาตุววัฏฐาน เป็นการกำหนดพิจาณาธาตุ ๔ คือ ปฐวีธาตุ (ธาตุดิน) อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) วาโยธาตุ (ธาตุลม) เป็นอารมณ์ โดยการพิจารณาอวัยวะในร่างกายที่เป็นธาตุนั้น ๆ เช่น กำหนดพิจารณาผม และขน เป็นปฐวีธาตุ พิจารณาสิ่งที่มีลักษณะเอิบอาบ เช่น น้ำำดี น้ำเสลด เป็นอาโปธาตุ พิจารณาสิ่งที่มีลักษณะอบอุ่นเป็นเตโชธาตุ พิจารณาสิ่งที่มีลักษณะไหว เป็นวาโยธาตุ การกำหนดพิจารณาในธาตุทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมเป็นเหตุให้เพิกถอนอัตตสัญญาความสำคัญหมายในความเป็นสัตว์บุคคลออกได้ จนไม่เกิดความยินดียินร้ายในอารมณ์เหล่านั้น เป็นเหตุให้จิตมีสมาธิมากยิ่งขึ้น (๑๒) อิทธิวิธนิเทศ แสดงเรื่องอภิญญา ท่านพูดถึงอภิญญา ๕ ประการ คือ (๑) อิทธิ-วิธญาณ การแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ (๒) ทิพพโสตธาตุญาณ การรู้ดุจได้ยินด้วยโสตธาตุอันเป็นทิพย์ (๓) เจโตปริยญาณ การกำหนดรู้ใจผู้อื่นได้ (๔) ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติหนหลังได้ (๕) จุตูปปาตญาณ การรู้การจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายได้ ท่านขยายความ (๑) อิทธิวิธญาณ ไว้ว่า การที่บุคคลจะแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้นั้น จะต้องฝึกฝนให้เกิดความชำนาญในการเข้าฌาน ในการออกจากฌานตามลำดับ โดยที่สุดแม้การกำหนดอารมณ์ การกำหนดองค์ฌานก็ต้องทำให้เกิดความชำนาญด้วยอาการ ๑๔ อย่าง มีการเข้าฌานไปตามลำดับกสิณเป็นต้นจึงจะแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งมีถึง ๑๐ ประการ คือ ฤทธิ์ที่อธิษฐาน ฤทธิ์ที่แสดงได้ต่าง ๆ ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยใจ ฤทธิ์ที่แผ่ไปด้วยญาณ ฤทธิ์ที่แผ่ไปด้วยสมาธิ ฤทธิ์ของพระอริยะ ฤทธิ์ที่เกิดจากผลกรรม ฤทธิ์ของท่านผู้มีบุญ ฤทธิ์ที่สำเร็จมาจากวิชชา ฤทธิ์ที่ประกอบโดยชอบในส่วนนั้นเป็นปัจจัย ต่อจากนั้นท่านได้แสดงมูลเหตุของการเกิดฤทธิ์ว่ามาจากจิตที่ไม่หวั่นไหวด้วยอาการ ๑๐ อย่างที่ชื่อว่า “อาเนญชะ” มีจิตที่ไม่ฟุบลง จิตไม่ฟูขึ้นเป็นต้น ท่านแสดงพร้อมทั้งยกตัวอย่างบุคคลที่แสดงฤทธิ์ได้ (๑๓) อภิญญานิเทศ แสดงเรื่องอภิญญาที่เหลือจากนิเทศที่ผ่านมา คือ (๒) ทิพพโสตธาตุ การได้ยินเสียง ๒ อย่าง ทั้งเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ (๓) เรื่องเจโตปริยญาณ การกำหนดรู้จิต ๑๖ ประเภท เช่น จิตมีราคะหรือจิตปราศจากราคะเป็นต้น (๔) เรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในกาลก่อนในชาติปางก่อน ว่าเคยทำกุศลหรืออกุศลอะไรไว้ (๕) เรื่องจุตูปปาตญาณ การกำหนดรู้ความเกิดและความดับของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรม ที่เป็นเหตุให้ไปเกิดในสุคติและทุคติเป็นต้น และเรื่องเบ็ดเตล็ดในอภิญญา

Apr 20

วิสุทธิมรรค ปกรณ์วิเสส ภาค ๒ เล่ม ๑

ซื้อหนังสือเล่มนี้ (คลิก)

  • วิสุทธิมรรค ปกรณ์วิเสส ภาค ๒ เล่ม ๑ นี้ แปลมาจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค ปกรณ์วิเสส ซึ่งเป็นคัมภีร์ภาคภาษาบาลี ที่ท่านพระพุทธโฆสาจารย์ได้รจนาไว้ ซึ่งมี ๒๓ นิเทศ กล่าวคือ พระวินัยปิฎก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ โดยใจความ ได้แก่ศีล อยู่ใน ๒ นิเทศ คือ (๑) สีลนิเทศ และ(๒) ธุตังคนิเทศ พระสุตตันตปิฎก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ โดยใจความ ได้แก่ สมาธิ อยู่ใน ๑๑ นิเทศ ตั้งแต่ นิเทศที่ ๓ ถึง ๑๓ ได้แก่ (๓) กัมมัฏฐานคหณนิเทศ (๔) ปฐวีกสิณนิเทศ (๕) เสสกสิณนิเทศ (๖) อสุภกัมมัฏฐานนิเทศ (๗) ฉอนุสสตินิเทศ (๘) อนุสสติกัมมัฏฐานนิเทศ (๙) พรหมวิหารนิเทศ (๑๐) อารุปปนิเทศ (๑๑) สมาธินิเทศ (๑๒) อิทธิวิธนิเทศ (๑๓) อภิญญานิเทศ และ พระอภิธรรมปิฎก มี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ โดยใจความก็ได้แก่ ปัญญา อยู่ใน ๙ นิเทศ ตั้งแต่ นิเทศที่ ๑๔ ถึง ๒๒ ได้แก่ (๑๔) ขันธนิเทศ (๑๕) อายตนธาตุนิเทศ (๑๖) อินทริยสัจจนิเทศ (๑๗) ปัญญาภูมินิเทศ (๑๘) ทิฏฐิวิสุทธินิเทศ (๑๙) กังขาวิตรณวิสุทธิ-นิเทศ (๒๐) มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ (๒๑) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ (๒๒) ญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ (๒๓) ปัญญา ภาวนานิสังสนิเทศ ตั้งแต่ปริจเฉทที่ ๑ ถึง ๒๒ คือ ศีล สมาธิ และปัญญา นี่แหละจะเรียกว่า แผนที่ หรือทางสู่พระนิพพาน
    สำหรับ วิสุทธิมรรค ปกรณ์วิเสส ภาค ๒ เล่ม ๑ นี้ มีเนื้อหาประกอบด้วย ๓ นิเทศ คือ (๘) อนุสสติกัมมัฏฐานนิเทศ แสดงวิธีการเจริญอนุสสติกัมมัฏฐานที่เหลืออีก ๔ ประการ คือ (๗) มรณานุสสติ การพิจารณาความตายเป็นอารมณ์ เพื่อข่มนิวรณ์ทั้งหลาย (๘) กายคตาสติ พิจารณากายเป็นอารมณ์ (๙) อานาปานสติ พิจารณาลมหายใจออก หายใจเข้าเป็นอารมณ์ โดยการศึกษาสนธิ ๕ มนสิการ ๘ วิธีให้เข้าใจกำหนดลม ๑๖ ขั้น จนมีอานิสงส์ให้ได้บรรลุ อรหัตตผล (๑๐) อุปสมานุสสติ การระลึกนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์พร้อมทั้งอานิสงส์ที่ เกิดขึ้นในการเจริญกัมมัฏฐานแต่ละอย่าง (๙) พรหมวิหารนิเทศ แสดงวิธีการเจริญพรหมวิหารกัมมัฏฐาน ๔ ประการ คือ (๑) เมตตา กัมมัฏฐาน ฝึกเจริญเมตตาทั้งโดยเจาะจง โดยไม่เจาะจง และโดยไม่มีประมาณ พร้อมทั้งอานิสงส์ เมตตา ๑๑ ประการ (๒) กรุณากัมมัฏฐาน การเจริญกรุณาแผ่ความปรารถนาดีไปในบุคคลและ สัตว์ทั้งหลาย (๓) มุทิตากัมมัฏฐาน การเจริญมุทิตาแผ่ความยินดีไปในบุคคลที่คุ้นเคยกันก่อนึงไปในบุคคลที่ไม่คุ้นเคยกัน (๔) อุเบกขากัมมัฏฐาน ฝึกแผ่ความวางเฉยไปในบุคคลทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก วางใจเป็นกลางในความสุขและความทุกข์ของสัตว์เหล่านั้น ท่านได้อธิบาย โดยละเอียดพร้อมทั้งโทษของการไม่เจริญและอานิสงส์ของการเจริญพรหมวิหาร เพราะเป็นเหตุ แห่งอัปปนาฌาน (๑๐)อารุปปนิเทศ แสดงวิธีการเจริญอารุปปกัมมัฏฐานซึ่งเป็นขั้นตอนต่อจากการเจริญ รูปกัมมัฏฐานเบื้องต้นที่ผ่านมาแล้ว ได้แก่ (๑) อากาสานัญจายตนฌาน การกำหนดพิจารณา อากาศคือช่องว่างอันหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์ (๒) วิญญาณัญจายตนฌาน การกำหนดพิจารณา วิญญาณอันหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์ (๓) อากิญจัญญายตนฌาน การกำหนดพิจารณาภาวะที่ไม่มี อะไร ๆ เป็นอารมณ์ (๔) เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน การกำหนดพิจารณาการเข้าถึงภาวะ มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่เป็นอารมณ์ โดยแสดงวิธีการปฏิบัติเป็นขั้นตอนต่อกันไป อย่างละเอียดพร้อมอานิสงส์แห่งการเจริญอารูปฌาน

Apr 20

วิสุทธิมรรค ปกรณ์วิเสส ภาค ๑ เล่ม ๒

ซื้อหนังสือเล่มนี้ (คลิก)

  • วิสุทธิมรรค ปกรณ์วิเสส ภาค ๑ เล่ม ๒ นี้ แปลมาจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค ปกรณ์วิเสส ซึ่งเป็นคัมภีร์ภาคภาษาบาลี ที่ท่านพระพุทธโฆสาจารย์ได้รจนาไว้ ซึ่งมี ๒๓ นิเทศ กล่าวคือ พระวินัยปิฎก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ โดยใจความ ได้แก่ศีล อยู่ใน ๒ นิเทศ คือ (๑) สีลนิเทศ และ(๒) ธุตังคนิเทศ พระสุตตันตปิฎก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ โดยใจความ ได้แก่ สมาธิ อยู่ใน ๑๑ นิเทศ ตั้งแต่ นิเทศที่ ๓ ถึง ๑๓ ได้แก่ (๓) กัมมัฏฐานคหณนิเทศ (๔) ปฐวีกสิณนิเทศ (๕) เสสกสิณนิเทศ (๖) อสุภกัมมัฏฐานนิเทศ (๗) ฉอนุสสตินิเทศ (๘) อนุสสติกัมมัฏฐานนิเทศ (๙) พรหมวิหารนิเทศ (๑๐) อารุปปนิเทศ (๑๑) สมาธินิเทศ (๑๒) อิทธิวิธนิเทศ (๑๓) อภิญญานิเทศ และ พระอภิธรรมปิฎก มี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ โดยใจความก็ได้แก่ ปัญญา อยู่ใน ๙ นิเทศ ตั้งแต่ นิเทศที่ ๑๔ ถึง ๒๒ ได้แก่ (๑๔) ขันธนิเทศ (๑๕) อายตนธาตุนิเทศ (๑๖) อินทริยสัจจนิเทศ (๑๗) ปัญญาภูมินิเทศ (๑๘) ทิฏฐิวิสุทธินิเทศ (๑๙) กังขาวิตรณวิสุทธิ-นิเทศ (๒๐) มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ (๒๑) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ (๒๒) ญาณทัสสนวิสุทธินิเทศ (๒๓) ปัญญา ภาวนานิสังสนิเทศ ตั้งแต่ปริจเฉทที่ ๑ ถึง ๒๒ คือ ศีล สมาธิ และปัญญา นี่แหละจะเรียกว่า แผนที่ หรือทางสู่พระนิพพาน
    สำหรับ วิสุทธิมรรค ปกรณ์วิเสส ภาค ๑ เล่ม ๒ นี้ มีเนื้อหาประกอบด้วย ๕ นิเทศ คือ (๓) กัมมัฏฐานคหณนิเทศ แสดงถึงข้อปฏิบัติเบื้องต้น ก่อนที่ผู้ปฏิบัติจะลงมือปฏิบัติ กัมมัฏฐาน นั่นคือให้เข้าใจการตัดความกังวล ๑๐ ประการมีความกังวลเรื่องที่อยู่ ความกังวลเรื่อง ตระกูลเป็นต้น ให้เรียนรู้กัมมัฏฐาน ๒ อย่างมีการแผ่เมตตาในเพื่อนภิกษุเป็นต้น รวมทั้งศึกษา ให้รู้ลักษณะของผู้ที่จะเป็นอาจารย์ที่ตนควรเข้าไปหา เรียนรู้ถึงจริตจริยาแล้วจึงวินิจฉัยกัมมัฏฐาน ๔๐ ประการ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจเสียก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจมอบตัวลงเป็นศิษย์ของอาจารย์ ท่านใด เพื่อไม่เกิดความผิดพลาดและเสียใจภายหลัง (๔) ปถวีกสิณนิเทศ เมื่อท่านแสดงวิธีการแสวงหาครูอาจารย์และสถานที่ที่ควรแก่การ ปฏิบัติกัมมัฏฐานแล้ว จึงแสดงวิธีการเจริญปถวีกสิณกัมมัฏฐานโดยพิสดาร เริ่มแต่การแสวงหา ดินสีต่าง ๆ ที่จะนำมาทำดวงกสิณ วิธีการเพ่งพิจารณาจนได้นิมิต การรักษานิมิต และความฉลาด ในอุบายที่จะทำให้อัปปนาฌานที่เรียกว่าอัปปนาโกศลเกิด มีการทำวัตถุให้สะอาด และการทำ อินทรีย์ให้เสมอกันเป็นต้น ทั้งความฉลาดในการเจริญกัมมัฏฐานในระดับฌานทั้ง ๔ มีปฐมฌาน เป็นต้น (๕) เสสกสิณนิเทศ ท่านแสดงกสิณกัมมัฏฐานที่เหลืออีก ๙ อย่าง คือ อาโปกสิณ การเพ่ง น้ำเป็นอารมณ์ เตโชกสิณ การเพ่งไฟเป็นอารมณ์ วาโยกสิณ การเพ่งลมเป็นอารมณ์ นีลกสิณการเพ่งวัตถุสีเขียวมีดอกไม้เป็นต้นเป็นอารมณ์ ปีตกสิณ การเพ่งวัตถุสีเหลืองมีดอกไม้เป็นต้น เป็นอารมณ์ โลหิตกสิณ การเพ่งวัตถุสีแดงมีดอกไม้เป็นต้นเป็นอารมณ์ โอทาตกสิณ การเพ่งวัตถุ สีขาวมีดอกไม้เป็นต้นเป็นอารมณ์ อาโลกกสิณ การเพ่งแสงสว่างเป็นอารมณ์ และปริจฉินนาสกสิณ การเพ่งช่องว่างเป็นอารมณ์ พร้อมทั้งความฉลาดและผลที่เกิดขึ้นจากการเจริญกสิณเหล่านี้ (๖) อสุภกัมมัฏฐานนิเทศ ท่านแสดงวิธีการเจริญอสุภกัมมัฏฐาน ๑๐ ประการ ได้แก่ (๑) อุทธุมาตกอสุภะ พิจารณาซากศพที่พองขึ้น (๒) วินีลกอสุภะ พิจารณาซากศพที่มีสีเขียว (๓) วิปุพพกอสุภะ พิจารณาซากศพที่มีน้ำหนองไหล (๔) วิฉิทกอสุภะ พิจารณาซากศพที่ขาดแยก จากกัน (๕) วิขายิตกอสุภะ พิจารณาซากศพที่ถูกสัตว์กัดกิน (๖) วิกขิตตกอสุภะ พิจารณา ซากศพที่กระจัดกระจายอยู่ (๗) หตวิกขิตตกอสุภะ พิจารณาซากศพที่ถูกฟันกระจัดกระจาย (๘) โลหิตกอสุภะ พิจาณาซากศพที่มีโลหิตเปรอะเปื้อน (๙) ปุฬวกอสุภะ พิจาณาซากศพที่เต็ม ไปด้วยหมู่หนอน (๑๐) อัฏฐิกอสุภะ พิจารณาซากศพที่เหลือแต่ร่างกระดูก แสดงวิธีการไป การมา การพิจารณาในแต่ละประเภท จนถือเอานิมิตต่างๆ วิธีการผูกจิตไว้ในนิมิตนั้น ทำให้เกิด ความชำนาญ จนเป็นเหตุให้เกิดปฐมฌานขึ้น สามารถบรรเทาราคะลงได้ (๗) ฉอนุสสตินิเทศ แสดงวิธีการเจริญฉอนุสสติกัมมักฐาน ๖ ได้แก่ (๑) พุทธานุสสติ การระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ (๒) ธัมมานุสสติ การระลึกถึงพระธรรมเป็นอารมณ์ (๓) สังฆานุสสติ การระลึกถึงพระสงฆ์เป็นอารมณ์ (๔) สีลานุสสติ การระลึกถึงศีลเป็นอารมณ์ (๕) จาคานุสสติ การระลึกถึงการบริจาคเป็นอารมณ์ (๖) เทวตานุสสติ การระลึกคุณมีศรัทธา เป็นต้นที่ทำให้เป็นเทวดาเป็นอารมณ์ ท่านอธิบายวิธีการเจริญอนุสสติเหล่านี้เป็นอารมณ์ อย่างละเอียด พร้อมทั้งแสดงอานิสงส์ที่เกิดขึ้นจากการเจริญอนุสสติกัมมัฏฐานแต่ละอย่าง มีการ ทำให้องค์ฌานเกิดขึ้นเป็นต้น

Apr 20

วิสุทธิมรรค ปกรณ์วิเสส ภาค ๑ เล่ม ๑

ซื้อหนังสือเล่มนี้ (คลิก)

  • คัมภีร์ “สมันตปาสาทิกา” มีทั้งภาษาบาลีและภาษาไทย ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่อธิบายความ พระวินัยปิฎก และพระวินัยปิฎก แบ่งออกเป็น ๕ คัมภีร์ คือ มหาวิภังค์ ภิกขุนีวิภังค์ มหาวรรค จุลวรรค และปริวาร และมีอรรถกถาขยายความชื่อสมันตปาสาทิกา อันเป็นผลงานของพระเถระ ชาวชมพูทวีปชื่อว่า พุทธโฆษาจารย์ รจนาขึ้น เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปได้ประมาณ ๑,๐๐๐ ปี พระเถระรูปนี้เป็นนักปราชญ์ ที่พุทธศาสนิกชนรู้จักกันมาก ในประเทศที่นับถือศาสนาฝ่ายเถรวาท เพราะท่านได้แปลคัมภีร์อรรถกถาพระไตรปิฎกจากภาษาสิงหลมาเป็นภาษาบาลี จัดว่าเป็นงาน ที่สำคัญ เป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเราจนทุกวันนี้ ประเทศไทยได้ใช้คัมภีร์ที่ท่านรจนาไว้ เป็นหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ตั้งแต่ประโยค ๑-๒ ถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค โดยเฉพาะ สมันตปาสาทิกา อรรถกถาอธิบายความพระวินัยปิฎกที่ท่านรจนาขึ้น โดยยึดเค้าโครงอรรถกถาเดิม คือ มหาอรรถกถา มหาปัจจรี และกุรุนที เป็นหลัก
    “สมันตปาสาทิกา ภาค ๓ เล่ม ๓” นี้ แปลและเรียบเรียง โดย คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นคัมภีร์แปลภาษาไทยที่อธิบายขยายความ ที่เป็นประเด็นสำคัญในคัมภีร์ปริวาร มีสาระสำคัญดังนี้ ๑๖ มหาวาระ จูฬสังคามะ มหาสังคามะ เสทโมจนคาถา ปัญจวรรค กัมมวัคควัณณนา อปโลกนกัมมกถา อัตถวสวัคคาทิวัณณนา นิคมนกถา
    “สมันตปาสาทิกา ภาค ๓ เล่ม ๓” นี้ อธิบาย ขยายความที่เป็นประเด็นสำคัญในคัมภีร์ปริวาร ซึ่งว่าด้วยการถาม-การตอบปัญหาทางพระวินัย ที่ประมวลมาจากพระวินัยปิฎกทั้ง ๗ เล่ม โดยจัดว่างเป็นหัวข้อใหญ่ ๒๑ ข้อ มีภิกขุวิภังค์ โสฬสมหาวาระ (ว่าด้วยมหาวาระในภิกขุวิภังค์ ๑๖ วาระ) เป็นต้น ตัวอย่างการถามเรื่องปาราชิก – ปฐมปาราชิกสิกขาบท ทรงบัญญัติ ณ ที่ไหน ปรารภใคร เพราะเรื่องอะไร – มีพระบัญญัติ พระอนุบัญญัติ อนุปปันปัญญัติอยู่หรือ – มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติอยู่หรือ – มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติอยู่หรือ มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติอยู่หรือ จัดเข้าในอุทเทสไหน นับเนื่องในอุทเทสไหน เป็นต้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือ “สมันตปาสาทิกา แปล ภาค ๓ เล่ม ๓” นี้ จักอำนวยประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ ด้านพระพุทธศาสนา ของพระภิกษุสามเณร นิสิต และประชาชนทั่วไป

Mar 15

สมันตปาสาทิกา ภาค ๓ เล่ม ๓

ซื้อหนังสือเล่มนี้ (คลิก)

  • คัมภีร์ “สมันตปาสาทิกา” มีทั้งภาษาบาลีและภาษาไทย ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่อธิบายความ พระวินัยปิฎก และพระวินัยปิฎก แบ่งออกเป็น ๕ คัมภีร์ คือ มหาวิภังค์ ภิกขุนีวิภังค์ มหาวรรค จุลวรรค และปริวาร และมีอรรถกถาขยายความชื่อสมันตปาสาทิกา อันเป็นผลงานของพระเถระ ชาวชมพูทวีปชื่อว่า พุทธโฆษาจารย์ รจนาขึ้น เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปได้ประมาณ ๑,๐๐๐ ปี พระเถระรูปนี้เป็นนักปราชญ์ ที่พุทธศาสนิกชนรู้จักกันมาก ในประเทศที่นับถือศาสนาฝ่ายเถรวาท เพราะท่านได้แปลคัมภีร์อรรถกถาพระไตรปิฎกจากภาษาสิงหลมาเป็นภาษาบาลี จัดว่าเป็นงาน ที่สำคัญ เป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเราจนทุกวันนี้ ประเทศไทยได้ใช้คัมภีร์ที่ท่านรจนาไว้ เป็นหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม ตั้งแต่ประโยค ๑-๒ ถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค โดยเฉพาะ สมันตปาสาทิกา อรรถกถาอธิบายความพระวินัยปิฎกที่ท่านรจนาขึ้น โดยยึดเค้าโครงอรรถกถาเดิม คือ มหาอรรถกถา มหาปัจจรี และกุรุนที เป็นหลัก
    “สมันตปาสาทิกา ภาค ๓ เล่ม ๓” นี้ แปลและเรียบเรียง โดย คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นคัมภีร์แปลภาษาไทยที่อธิบายขยายความ ที่เป็นประเด็นสำคัญในคัมภีร์ปริวาร มีสาระสำคัญดังนี้ ๑๖ มหาวาระ จูฬสังคามะ มหาสังคามะ เสทโมจนคาถา ปัญจวรรค กัมมวัคควัณณนา อปโลกนกัมมกถา อัตถวสวัคคาทิวัณณนา นิคมนกถา
    “สมันตปาสาทิกา ภาค ๓ เล่ม ๓” นี้ อธิบาย ขยายความที่เป็นประเด็นสำคัญในคัมภีร์ปริวาร ซึ่งว่าด้วยการถาม-การตอบปัญหาทางพระวินัย ที่ประมวลมาจากพระวินัยปิฎกทั้ง ๗ เล่ม โดยจัดว่างเป็นหัวข้อใหญ่ ๒๑ ข้อ มีภิกขุวิภังค์ โสฬสมหาวาระ (ว่าด้วยมหาวาระในภิกขุวิภังค์ ๑๖ วาระ) เป็นต้น ตัวอย่างการถามเรื่องปาราชิก – ปฐมปาราชิกสิกขาบท ทรงบัญญัติ ณ ที่ไหน ปรารภใคร เพราะเรื่องอะไร – มีพระบัญญัติ พระอนุบัญญัติ อนุปปันปัญญัติอยู่หรือ – มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติอยู่หรือ – มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติอยู่หรือ มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติอยู่หรือ จัดเข้าในอุทเทสไหน นับเนื่องในอุทเทสไหน เป็นต้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือ “สมันตปาสาทิกา แปล ภาค ๓ เล่ม ๓” นี้ จักอำนวยประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ ด้านพระพุทธศาสนา ของพระภิกษุสามเณร นิสิต และประชาชนทั่วไป

Older posts «

» Newer posts